Archives

โลกเรานี้ไม่สมบูรณ์

            เห็นขึ้นชื่อเรื่องแบบนี้พี่น้องอย่าเพิ่งเข้าใจผิดไปนะครับว่าผู้เขียนไปผิดหวังชอกช้ำอะไรกับชีวิตมาหรือเปล่าถึงได้มองโลกในแง่ร้ายขนาดนี้? ผมไม่ได้ไปผิดหวังกับชีวิตหรือเกิดเบื่อหน่ายโลกขึ้นมาหรอกครับ ผมเพียงแต่มีโอกาสเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับโลก (ผมหมายถึงก้อนดินลูกกลมๆ ที่เรากำลังเหยียบย่างอยู่นี่แหละครับ) โดยการลงทะเบียนเรียนที่มสธ. ในวิชาวิทยาศาสตร์กับสังคม ผมเองไม่ได้ร่ำเรียนมานานแล้วจนหลายอย่างก็ลืมไปแล้ว และเมื่อมีโอกาสได้ศึกษาตำหรับตำราที่ทางมสธ.เขาส่งให้ผมก็ได้รับแง่คิดบางอย่างที่อยากจะแบ่งปันกับพี่น้อง ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจและทึ่งในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเมื่อศึกษาถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง และตระหนักว่ามนุษย์เราช่างเล็กน้อยเสียเหลือเกิน (แต่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่และสำคัญเสียเหลือเกิน)

            พระธรรมปฐมกาล 1:1 “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” ผมขออนุญาตพาพี่น้องศึกษาสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ให้เราได้ชื่นชม ณ บัดนี้ (ขอให้จินตนาการตามไปด้วยขณะที่อ่าน)

            นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่าจักรวาลของเรามีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก ถ้าเราใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาด 200 นิ้วบนภูเขาพาโลมาร์ (Palomar) ที่สหรัฐอเมริกา ส่องมองออกไปในอวกาศ เราจะสามารถมองได้ไกลออกไปถึง 4,000 ล้านปีแสง (แสงเดินทางเร็วมาก ใน 1 วินาทีแสงสามารถเดินทางได้ไกล หลายแสนไมล์ ดังนั้นในเวลา 1 ปี แสงย่อมเดินทางไปได้ไกลมากเกินความคิดของเรา แต่หากแสงเดินทางสี่พันล้านปีย่อมไกลจนเหลือจะจินตนาการได้) แต่กระนั้นก็ตามจักรวาลที่พระเจ้าทรงสร้างก็ยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้จริงๆ ว่าจักรวาลเราสิ้นสุดที่ใดและมีรูปร่างอย่างไร

            เมื่อเรามองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนในคืนที่ไม่มีเมฆและไม่มีดวงจันทร์ เราอาจเคยถามว่า ดวงดาวบนท้องฟ้ามีจำนวนเท่าใดกันแน่?

            เมื่อประมาณ 2000 ปีมาแล้ว นักดาราศาสตร์ชาวกรีกคนหนึ่ง ได้พบว่าดาวที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่าบนท้องฟ้าในชั่วขณะหนึ่งมีประมาณ 1,080 ดวง แต่นักดาราศาสตร์ยังไม่สามารถคำนวณหาจำนวนของดวงดาวที่แท้จริงได้ ประมาณคร่าวๆ ว่ามีล้านล้านดวง และมีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกันไป

            ระบบสุริยะจักรวาลของเราเป็นส่วนหนึ่งของดาราจักรทางช้างเผือก และดาราจักรทางช้างเผือกก็เป็นส่วนเล็กๆ ของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ไพศาล ระบบสุริยจักรวาลของเราประกอบด้วยวัตถุจำนวนมากที่อยู่ภายใต้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ วัตถุเหล่านี้ได้แก่ดาวเคราะห์ ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย และอุกกาบาต โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง

            ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาลของเราเมื่อเรามองดูเราจะรู้สึกว่าใหญ่โตมาก คือมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 109 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลกของเรา (หมายความว่า โลกของเรา 109 ใบจึงจะมีขนาดเท่ากับดวงอาทิตย์1 ดวง) แต่เมื่อเทียบกับจักรวาลทั้งหมดแล้ว ดวงอาทิตย์ก็เป็นแต่เพียงดาวฤกษ์ดวงเล็กๆ ดวงหนึ่งเท่านั้น ดาวในหมู่ดาวยักษ์ใหญ่ เช่นดาวบีเทลจุยส์ ซึ่งเป็นดาวที่สว่างจ้าที่สุดในหมู่ดาวนายพราน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยเท่าของดวงอาทิตย์ แปลว่าใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของเราหลายร้อยเท่า และยังมีดาวบางดวงที่มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของเราถึง 3,000 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ดวงอาทิตย์ของเราเล็กมากจนแทบมองไม่เห็น แต่สำหรับเราแล้วมันใหญ่โตและทรงพลังมาก

            โลกของเราเป็นหนึ่งในบริวารของดวงอาทิตย์ และเป็นบริวารชั้นในอยู่ในลำดับที่สามรองจากดาวพุธและดาวศุกร์ ต่อจากโลกของเราก็มีดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน และดาวพลูโต รวมทั้งหมดเป็น 9 ดวง แต่ละดวงก็มีดาวบริวารของตัวเองที่หมุนตามวงโคจรของตัวเอง และมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน โดยหมุนรอบดวงอาทิตย์ และในขณะที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ก็หมุนรอบตัวเองไปด้วย ดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวงนี้ได้ก่อรูปเป็นระบบสุริยะจักรวาล นอกจากนี้ยังมีดาราจักรอื่นๆ ที่มีดวงอาทิตย์ของตนเองอีกมากมายหลายล้านดาราจักรรวมกันเป็นเอกภพขนาดใหญ่

            ดาราจักรของเราที่มีชื่อว่าดาราจักรทางช้างเผือกนั้นประกอบด้วยหมู่ดาวจำนวนล้านๆ ดวงก่อรูปเป็นดาราจักรทางช้างเผือก ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ของเรากับศูนย์กลางของดาราจักรทางช้างเผือกคือ 33,000 ปีแสง โดยจะโคจรเป็นรูปวงรีไปด้วยความเร็ว 200 ไมล์ต่อวินาทีโดยหมุนตามทิศการเคลื่อนที่ของเข็มนาฬิกา แม้จะเคลื่อนที่เร็วขนาดนี้แต่กว่าดวงอาทิตย์ของเราจะโคจรรอบดาราจักรทางช้างเผือกได้ 1 รอบก็ต้องใช้เวลาถึง 200 ล้านปีจึงจะหมุนครบรอบ ลองคิดดูว่าดาราจักรทางช้างเผือกนี้จะใหญ่โตขนาดไหน แต่ดาราจักรทางช้างเผือกก็ยังเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของเอกภพทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้าง เป็นเพียงหนึ่งในบรรดา 200 ล้านดาราจักรเท่าที่นักดาราศาสตร์ค้นพบเท่านั้น

            จำนวนดาวในดาราจักรต่างๆ นั้นมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกันไป สำหรับดาราจักรทางช้างเผือกของเรานั้นประกอบด้วยดวงดาวประมาณหนึ่งแสนล้านดวง ก่อรูปเป็นเหมือนจานแบนมหึมา ไม่กลมแต่รี มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งแสนปีแสง (แสงเดินทาง 1 แสนปี) และหนาประมาณหนึ่งหมื่นปีแสง จัดว่าเป็นดาราจักรขนาดเล็ก

            นักดาราศาสตร์คำนวณว่าในจักรวาลมีกาแล็กซี่หรือดาราจักรแบบนี้อีกมากมาย ที่ได้สำเร็จค้นพบแล้วมีอย่างน้อยสองร้อยล้านดาราจักร นักดาราศาสตร์ได้แบ่งลักษณะของดาราจักรออกเป็น 3 ลักษณะคือ 1) ดาราจักรรูปวงรี ดาราจักรที่เป็นรูป วงรีมีประมาณ 30 % ของดาราจักรทั้งหมด 2) ดาราจักรรูปกังหัน ประกอบด้วยดาราจักรรูปกังหันปกติและดาราจักรรูปกังหันมีแกน ดาราจักรรูปกังหันมีประมาณ 65 % ของดาราจักรทั้งหมด ดาราจักรทางช้างเผือกของเราจัดเป็นดาราจักรรูปกังหันปกติ 3) ดาราจักรอสัณฐาน คือเป็นกลุ่มดาราจักรที่ไม่มีรูปทรงตายตัว ไม่มีระเบียบ ดาราจักรนับล้านๆ ดาราจักรเหล่านี้ก่อรูปเป็นจักรวาลอันยิ่งใหญ่ไพศาล

            กาแล็กซี่จำนวนมากมายเช่นนี้ต่างหมุนไปตามวงโคจรของตน โดยหมุนรอบศูนย์กลางอำนาจแห่งจักรวาล ก่อรูปเป็นจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ไพศาล พระเจ้าคงจะทรงประทับอยู่เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลคอยควบคุมปกครองจักรวาลทั้งหมดเพื่อให้ดาราจักรทุกดาราจักรและดาวทุกดวงโคจรด้วยอัตราเร็วที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง หากปราศจากอำนาจควบคุมนี้อาจเกิดความวิบัติเกิดขึ้นได้ สมมติความเร็วและทิศทางโคจรเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจะต้องเกิดการชนกันขึ้นในอวกาศ และจะเกิดการทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว พระธรรมฮีบรู 1:3 กล่าวว่า “ทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์” โคโลสี 1:17 ก็ได้กล่าวว่า “พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์” ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ถึงเป้าหมายหรือปลายทางของสิ่งทรงสร้างเหล่านี้ สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่

            ผู้เขียนเพลงแห่งชีวิตคริสเตียนบทที่ 13 ได้บรรยายถึงความรู้สึกอันเกิดจากการได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเมื่อเขามองดูท้องฟ้าในยามค่ำคืนเดือนมืด เราควรตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเช่นกัน เป็นเวลานานแล้วที่ผมเองไม่ได้ดูดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนเดือนมืดในหน้าหนาว ผมยังจำความรู้สึกในเวลาเป็นเด็กได้ดี (ปัจจุบันแสงไฟฟ้ายามค่ำคืนทำให้บดบังความงดงามของท้องฟ้าไปหมด) ที่บ้านนอกที่ผมอยู่สมัยเป็นเด็กยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ผมชอบนอนที่นอกชานบ้านกับคุณพ่อแล้วมองดูดวงดาว พลางจินตนาการไปต่างๆ นานา (ในเวลานั้นยังไม่รู้จักพระเจ้า)

            เอาละ…ผมพาพี่น้องออกไปเที่ยวนอกโลก ท่องไปดาวดวงดาวและจักรวาลต่างๆ กันมาพอแล้ว บัดนี้ผมอยากนำเรากลับมาดูชมสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราเข้ามาอีก สิ่งนั้นก็คือโลกของเรานั่นเอง ผมได้ขึ้นหัวเรื่องไว้ว่า “โลกเรานี้ไม่สมบูรณ์” ให้เรามาดูว่าผมหมายถึงอะไร

            นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโลกเรามีอายุประมาณ 4,500 ล้านปี คือเท่าๆ กับอายุของดวงอาทิตย์ ส่วนเอกภพหรือจักรวาลนั้นเขาเชื่อว่ามีอายุประมาณ 15,000 – 20,000 ล้านปี ที่จริงไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดในเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่าเอกภพ ณ จุดเริ่มต้นเป็นพลังงานล้วนๆ ไม่มีสสารหรือของแข็ง สิ่งนี้สอดคล้องกับพระคัมภีร์ พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าสร้างจักรวาลนี้จากสิ่งที่ว่างเปล่า (ฮร.11:3) “โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น” นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จะเรียกสิ่งที่อยู่ก่อนกัลปจักรวาลนี้ว่าอะไร เขารู้แต่เพียงว่าเป็นพลังงานที่ทรงอานุภาพยิ่ง

            โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ลอยอยู่ในอวกาศหมุนรอบดวงอาทิตย์ ขณะเดียวกันก็หมุนรอบตัวเอง จะขอกล่าวถึงในรายละเอียดทีหลัง ก่อนอื่นให้เรามาศึกษาดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเราด้วย

            ในบรรดาดาวบริวารทั้ง 9 ดวงของดวงอาทิตย์ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ดาวพุธจึงหมุนรอบดวงอาทิตย์สั้นที่สุดคือ 88 วันก็หมุนรอบดวงอาทิตย์แล้ว ความเร็วคือ 48 กิโลเมตรต่อวินาที แต่กลับหมุนรอบตัวเองช้ามากคือ 1 รอบกินเวลา 59 วัน คือโลกหมุนรอบตัวเอง 59 รอบแล้วดาวพุธเพิ่งหมุนรอบตัวเองรอบเดียว ดาวพุธมีขนาดเล็กกว่าโลกของเรา แต่ก็ยังมีดาวที่เล็กกว่าดาวพุธนั่นคือดาวพลูโตซึ่งเป็นดาวที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้ง 9 ดวง รองลงมาก็คือดาวพุธเล็กเป็นอันดับสอง ดาวพุธมีอุณหภูมิที่แปรปรวนมาก คือเที่ยงคืนจะมีอุณหภูมิที่ –170 องศาเซลเซียส เที่ยงวันกลับร้อนถึง 430 องศาทีเดียว ดาวพุธไม่มีบรรยากาศหรืออากาศเหมือนโลกของเรา พื้นผิวจึงเป็นหลุมเป็นบ่อคล้ายดวงจันทร์ เพราะดาวอุกกาบาตพุ่งชนเป็นประจำ

            ดาวศุกร์อยู่ถัดจากดาวพุธ ดาวศุกร์มีขนาดเกือบเท่าโลกแต่เล็กกว่านิดหน่อย ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าเป็น “ดาวน้อง” ของโลก หากมองจากโลกดาวศุกร์จะเป็นดาวที่สว่างเป็นอันดับสามรองจากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ บางครั้งอาจเห็นได้ในเวลากลางวัน โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเวลา 225 วัน ความเร็วเฉลี่ย 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หมุนรอบตัวเองช้ามากคือ 243 วัน คือหมุนรอบดวงอาทิตย์ยังเร็วกว่าหมุนรอบตัวเองเสียอีก พูดง่ายๆ ก็คือ สำหรับดาวศุกร์ 1 ปี สั้นกว่า หรือเร็วกว่า 1 วัน อุณหภูมิร้อนมากคือเฉลี่ยประมาณ 430 องศาเซลเซียส

            ลำดับที่สามคือโลกของเรา แต่จะขอพูดถึงทีหลัง ข้ามไปที่ลำดับที่สี่ก่อนคือดาวอังคาร ดาวอังคารก็มีขนาดเล็กกว่าโลก มีดาวบริวาร 2 ดวง โคจรรอบดวงอาทิตย์ในเวลา 687 วัน หมุนรอบตัวเองเกือบเท่าๆ กับโลกของเราคือ 24 ชั่วโมง 37 นาที 23 วินาที อุณหภูมิค่อนข้างหนาวอาจต่ำถึง ลบ150 องศาทีเดียว

            ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวที่ใหญ่ที่สุดรองจากดวงอาทิตย์เท่านั้น โคจรรอบดวงอาทิตย์ 11 ปีแต่หมุนรอบตัวเองเร็วที่สุดคือ 9 ชั่วโมงเท่านั้น

            ดาวเสาร์มีบริวารมากที่สุดคือ 17 ดวง ใหญ่เป็น 9 เท่าของโลกรองจากดาวพฤหัสบดี โคจรรอบดวงอาทิตย์ 30 ปี หมุนรอบตัวเอง 10 ชั่วโมง อุณหภูมิเฉลี่ย ลบ 170 องศา

            ดาวยูเรนัส โคจรรอบดวงอาทิตย์ในเวลา 84 ปี มีดาวบริวาร 15 ดวง หมุนรอบตัวเองเป็นเวลา 15 ชั่วโมง อุณหภูมิเฉลี่ยลบ 180 องศา

            ดาวเนปจูน อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 30 เท่าของโลก โคจรรอบดวงอาทิตย์ในเวลา 165 ปี หมุนรอบตัวเองในเวลา 15 ชั่วโมง มีดาวบริวาร 2 ดวง อุณหภูมิเฉลี่ยลบ 210 องศา

            ดาวพลูโต โคจรรอบดวงอาทิตย์ในเวลา 248 ปี หมุนรอบตัวเองในเวลา 6 วัน อุณหภูมิเฉลี่ย ลบ 230 องศา มีใครสนใจอยากไปอยู่ที่นี่บ้างไหมครับ?

            จากดวงดาวทั้ง 9 ดวงที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ สรุปแล้วไม่มีที่ใดที่เหมาะกับมนุษย์เรามากเท่ากับโลกของเรา ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำเรามาไว้ในโลกใบนี้

            โลกของเรา โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี โดยทำมุมเอียง 23.5 องศากับแนวระนาบวงโคจร ขนาดของโลกคือเส้นผ่านศูนย์กลางที่ผ่านเส้นศูนย์สูตรยาว 12,756.28 กิโลเมตร (เอาโลกมาผ่าครึ่งแบบทางขวาง) และเส้นผ่านศูนย์กลางซึ่งผ่านขั้วโลกเหนือยาว 12,713.51 กิโลเมตร โลกของเราจึงไม่ได้กลมแบบลูกฟุตบอล แต่แบนที่ขั้วและโป่งออกบริเวณเส้นศูนย์สูตร (ดาวเคราะห์ที่มีความหนาแน่นน้อยและหมุนรอบตัวเองเร็วจะมีความแบนมากกว่านี้ เช่นดาวพฤหัสบดีกับดาวเสาร์เป็นต้น) ดังนั้นลักษณะรูปทรงหรือสัณฐานโลกของเราจึงเป็นเหมือนลูกฟุตบอลที่สูบลมไม่เต็มแล้วให้เด็กนั่งทับ หรือเหมือนผลส้ม คือโป่งออกตรงกลาง สาเหตุก็เพราะโลกหมุนรอบตัวเองค่อนข้างเร็วนั่นเอง นี่คือความไม่สมบูรณ์อย่างแรกของโลก โลกเราไม่ได้กลมเสียทีเดียว

            นอกจากนี้ในการวัดขนาดของโลกจากดาวเทียมยังพบว่าโลกของเราไม่สมมาตร นั่นคือรัศมีของโลกที่ผ่านขั้วโลกเหนือยาวกว่ารัศมีที่ผ่านขั้วโลกใต้ประมาณ 40 เมตร นอกจากโป่งตรงกลางแล้วโลกของเราค่อนข้างไม่ได้สัดส่วน เหมือนคนที่มีช่วงขาสั้น แต่ช่วงลำตัวและแขนยาว แต่เมื่อมองจากนอกโลกก็จะเห็นว่าโลกกลมได้สัดส่วน

            โลกของเรามีขนาดใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับตัวเรา ระยะทางรอบโลกตามเส้นศูนย์สูตรยาวกว่า 40,000 กิโลเมตร หากเดินทางด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อวันก็ต้องใช้เวลา 3 ปี 8 เดือนจึงจะรอบโลก หากเดินทางโดยเครื่องบินด้วยความเร็ว 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะใช้เวลา 40 ชั่วโมงจึงจะรอบโลกได้

            หากจุดเจาะโลกลงไปยังใจกลางของโลกเราจะได้พบสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ 40 กิโลเมตรแรกใต้พื้นดินลงไปคือเปลือกโลก ซึ่งประกอบด้วยหินประเภทต่างๆ ซึ่งมีรูปลักษณ์และองค์ประกอบทางเคมีไม่เหมือนกัน ในชั้นเปลือกโลกนี้จะมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา เทคโนโลยี่ในปัจจุบันสามารถคำนวณได้ว่าประเทศอเมริกากำลังเคลื่อนตัวขึ้นทางเหนือด้วยอัตรา 3-6 เซนติเมตรต่อปี ดังนั้นเมื่อ 200 ล้านปีมาแล้ว แผ่นดินของโลกอาจเป็นแผ่นเดียวกันคือยึดติดกันนั่นเอง

            พระคัมภีร์กล่าวว่าแม้ภูเขาจะโคลงเคลงและเคลื่อนย้ายไปสู่สะดือทะเล แต่พระเจ้าจะยังทรงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน พระองค์ทรงอยู่เหนือกาลเวลา

            ลึกลงไปอีก 2,900 กิโลเมตร เป็นชั้นที่เรียกว่า แมนเทิล ยิ่งลึกลงไปอุณหภูมิจะยิ่งสูงขึ้น อาจสูงถึง 1,200-1,500 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ลึกลงไปจนถึงแกนกลางของโลกอุณหภูมิจะสูงกว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์ แกนกลางของโลกเป็นธาตุเหล็ก มีความหนาแน่นสูงมาก แต่จะมีบางช่วงที่เป็นของเหลว เพราะความร้อนภายในโลก

            หันไปดูทะเลหรือมหาสมุทร พื้นที่ที่เป็นมหาสมุทรมีมากกว่าพื้นที่ที่เป็นพื้นดิน กล่าวคือ 3 ใน 4 ของพื้นผิวโลกเป็นมหาสมุทร และขั้วโลกเหนือมีพื้นแผ่นดินมากกว่าขั้วโลกใต้

            การที่โลกเอียงทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เป็นผลดีต่อโลกเช่น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล แต่เนื่องจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โอกาสที่แกนโลกจะส่ายและเอียงไปด้านตรงข้ามก็มี (เหมือนลูกข่างที่เอนไปเอนมาเพราะแรงดึงดูดของโลก) นักวิทยาศาสตร์บอกว่าแกนโลกจะเปลี่ยนแปลงหรือส่ายรอบละ 25,800 ปี ถ้าพระเยซูคริสต์ยังไม่เสด็จกลับมา อีก 12,000 ปี แกนโลกจะเอียงไปทำมุมในด้านตรงข้ามกับปัจจุบัน หากเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดผลกระทบต่อโลกนี้อย่างยิ่งใหญ่ ฤดูกาลจะเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม กล่าวคือเดือนธันวาคมที่เคยเป็นฤดูหนาวก็จะเปลี่ยนเป็นฤดูร้อน และที่เคยเป็นฤดูร้อนก็จะเปลี่ยนเป็นฤดูหนาว ผมขอให้พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาก่อน (ผมรู้สึกว่าเวลานี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วจริงๆ โดยเฉพาะธรรมชาติ ฝนฟ้าตกไม่ตรงตามฤดูหรือคลาดเคลื่อนจากเมื่อก่อน)

พี่น้องครับบทเรียนจากเรื่องที่ผมหยิบยกมาแบ่งปันนี้มากมายเหลือเกิน ผมขอกล่าวถึงแต่เพียงเล็กน้อย

1)      โลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน แต่ผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอนคือพระเจ้าของเรา

2)      โลกนี้เป็นเพียงทางผ่านหรือที่อยู่ชั่วคราวของเราเท่านั้น เราไม่ควรฝังชีวิตของเราไว้ในโลกนี้ โลกนี้กำลังก้าวไปสู่ความเสื่อมสลาย และสุดท้ายจะถูกไฟผลาญจนหมดสิ้น โลกนี้ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เป็นเหมือนเมฆหมอกยามเช้า

3)      โลกนี้ไม่สมบูรณ์ ไม่มีอะไรดีพร้อมหรือสมบูรณ์ ผู้ที่ดีพร้อมหรือสมบูรณ์มีแต่เพียงผู้เดียวนั่นคือพระเจ้าของเรา มนุษย์เราไม่สมบูรณ์ ความรู้ความเข้าใจของเราไม่สมบูรณ์ เราต้องพร้อมที่จะยอมรับว่าเราเองไม่สมบูรณ์ คนอื่นก็ไม่สมบูรณ์ และต้องพร้อมที่จะให้อภัยซึ่งกันและกัน พระเจ้ารักโลกนี้และรักเราซึ่งไม่สมบูรณ์ พระองค์ไม่ได้มาหาคนที่สมบูรณ์แบบแล้ว เราต่างก็ไม่สมบูรณ์ เหตุฉะนั้นเราจึงต้องการกันและกัน เพื่อทดแทนความไม่สมบูรณ์ของเรา

พี่น้องเห็นด้วยกับผมหรือยังครับว่าโลกเรานี้ไม่สมบูรณ์ นอกจากโลกของเราไม่สมบูรณ์แล้ว ผู้คนที่อยู่ในโลกก็ไม่สมบูรณ์ด้วย ผมคงไม่มีเวลากล่าวถึงความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์โลกในเวลานี้ พี่น้องครับเรากำลังรอคอยและแสวงหาโลกที่สมบูรณ์กว่าซึ่งจะมีมาในอนาคตเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา ผมตื่นเต้นที่จะอยู่ในโลกอันสมบูรณ์ของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ พี่น้องรู้สึกตื่นเต้นกับผมไหมครับ?

 

เรียบเรียงโดย นิพนธ์ ตรีเวียง

Leave a Reply

You can use these HTML tags

<a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <s> <strike> <strong>